31 ตุลาคม 2555

ไม่ชิน

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความรู้สึกว่าต้องมีเหตุให้หงุดหงิดใจแน่ๆ เพราะเช้ามาก็มีคุณแม่ในกองบรรณาธิการ พาลูกน้อยเข้ามาอยู่ในออฟฟิศ -- ด้วยเป็นคนความอดทนต่ำ และสมาธิมักขาดตอนง่ายๆ ผมตั้งธงเบื้องต้นว่าเช้านี้จะอดทน

ผมคิด… ชีวิตครอบครัวที่ลูกปิดเทอม ผมก็ควรเข้าใจ บางวันฝากกันดูแลไม่ลงตัว เด็กจะไปอยู่ไหน ในเมื่อแม่เขาทำงานอยู่ที่นี่ แล้วผมเองคงใจแคบไปหน่อย ถ้าคิดหาความเหมาะควรในมารยาทอยู่ร่วมกันแบบเข้มงวด ยังไงๆ เด็กก็คือเด็ก เขาไม่ได้จงใจอาละวาดให้เพื่อนร่วมห้องหมดสิ้นสมาธิสักหน่อย เขาทำเพราะจิตใจมากจินตนาการสั่งการให้ทำ

แต่ในวิธีคิดแบบประนีประนอมนั้น ผมเองไม่ได้ใจดีขนาดเชื่อว่าเด็กเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ -- ยังไงๆ เด็กก็ไม่ควรส่งเสียงดังสนุกสนานในอุโบสถ ไม่ควรเด็ดดอกไม้ที่ลุงป้าข้างบ้านปลูกไว้เพราะเห็นว่าสวย และไม่ควรที่จะเดินไปด่าว่าใครก็ตามที่เขาไม่พอใจ

เป็นไปตามคาด ทั้งเช้านี้ เด็กจัดเต็มทุกสิ่งทุกอย่าง เสียงดังลั่น โป๊กเป๊กนั่นนี่ ผมประคองความรู้สึกที่ผุดขึ้นให้เป็นไปตามธงที่ตั้งไว้ หวังว่าบ่ายนี้เจ้าคงหมดแรง พี่จะดีใจเหลือเกินถ้าเป็นเช่นนั้น

บ่าย… เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมไม่มีผิด พูดแบบไม่เกรงใจ คือ ผมรู้สึกว่าเด็กอิ่มท้องมาหรือยังไง เรี่ยวแรงถึงได้มากมายกว่าตอนเช้า ความดังมากขึ้น แถมยังคิดการละเล่นวิ่งไล่จับในออฟฟิศที่พื้นที่แคบเป็นคอกๆ ผมรับไม่ได้หรอกนะกับพฤติกรรมแบบนี้ ธงที่ตั้งไว้ยามเช้าขาดวิ่น ลูกเต้าผมก็ยังไม่มี ไม่รู้สึกผูกพันกับเด็กวัยไหนมาก่อน ไม่เคยคุ้นชินกับเด็กที่ไม่เกรงอกเกรงใจมาด้วย พูดให้เข้าใจง่ายคือ “กูไม่รักเด็ก”

ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ว่าที่ทำไปไม่เหมาะสม แต่ผมก็เลือกที่จะกลับบ้านก่อนเวลามันดื้อๆ ไม่บอก ไม่กล่าวใครทั้งนั้น ก็ผมจะกลับ ใครจะทำไม

ผมรู้ - ทำงานรับจ้างเป็นมนุษย์เงินเดือน กฎก็คือกฎ เวลาเข้า-ออกงานเป็นเช่นไรก็ควรเคารพ ก็เป็นลูกจ้างเขาแล้ว ไม่พอใจในกฎก็ควรเรียกร้องตรงไปตรงมา หากไม่พอใจอย่างไรก็ควรแยกย้ายไปตามทาง ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายความบกพร่องของระบบที่เป็นอยู่ แล้วยืนยันสิ่งที่ควรในความคิด ด้วยการกระทำแบบตัวใครตัวมัน

หากจะอธิบายว่าสิ่งที่ทำไปสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่คุกคามมาตั้งแต่เช้ายันบ่ายแก่ๆ ทำร้ายสมาธิในการทำงานของผมจนหมดสิ้น ไม่มีการเคารพเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานบ้าง เล่นเฟซบุ๊กบ้าง นี่คือที่ทำงาน ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น

แม้เด็กอาจไม่รู้จักว่าสถานที่นี้ควรปฏิบัติเช่นไรแต่ผมคิดว่าแม่ก็ควรตระหนักด้วยว่าสิ่งที่ลูกในไส้คุณกำลังเริงร่าอยู่ มันไม่ใช่พฤติกรรมที่น่ารักเอาเสียเลย หน้าที่ของคุณคือสะกิดเตือน หรือทำอะไรสักอย่างให้เด็กลดเสียงให้เบาลงกว่านี้ อยากวิ่งปึงปังกลับไปวิ่งที่บ้าน อยากจินตนาการหาท้องฟ้าและท้องทะเล ก็ได้โปรดอยู่ในปริมาณที่ไม่ล้มทะลักเช่นนี้

ผมไม่ได้เกรงกลัวขนาดไม่กล้าบอกกล่าว แต่โตๆ กันแล้ว ต้องให้บอกซ้ำเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดอีกเหรอ ว่าเสียงดังตั้งแต่เช้า มันรบกวนคนอื่นแค่ไหน และการที่หลายชั่วโมงคุณยังนิ่งเฉย นั่นก็แปลว่าคุณเห็นดีเห็นงามกับความห่ามของลูกๆ ผมเดินไปสะกิดบอกกล่าว จะยิ่งกลายเป็นผิดใจกันโดยไม่จำเป็น

จริงอยู่ บางทีผมอาจเป็นบ้าอยู่คนเดียว ไม่มีใครในออฟฟิศมีปัญหามากอะไร ก็แค่ติดๆ ขัดๆ ทำงานไม่ไหลลื่นบ้างก็เท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะผมเองเชื่อ และมั่นใจด้วยว่า สิทธิเสียงที่ตัวผมมีในบรรยากาศความเงียบ ผมก็มีเท่าๆ กับที่พวกคุณไม่ใยดีความรู้สึกคนอื่น จนถึงขั้นบางคนเดินมาบอกกล่าวได้หยาบคายรูหูสุดๆ เลยว่า “เดี่ยวก็ชิน”

แทนที่จะเดินไปสะกิดเด็กๆ ว่า “น้อยๆ หน่อย” ผมกลับได้รับคำแนะนำว่า “เดี๋ยวก็ชิน”

เอาเถอะประเทศนี้ สังคมนี้ เราอยู่กับคำปลอบใจแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประนีประนอมกับความโกลาหลที่แก้ไขได้

ใครจะชิน ก็ตามสบาย แต่ผมไม่ชินด้วยหรอก