22 กุมภาพันธ์ 2555

3 สิ่งดีๆ ในชีวิตที่ผ่านมา

ได้รับหนังสือ 3 สิ่งดีๆ ในอาทิตย์ที่ผ่านมา มาจากมูลนิธิโลกสีเขียว
คอลัมน์ที่ตัวเองเคยมีส่วนในการรบกวนคนนั้นคนนี้ช่วยเขียนเรื่องราวดีๆ สัก 3 เรื่องมาแบ่งปันกันอ่าน หรือบางคนก็ไปขอสัมภาษณ์กันสดๆ ตรงนั้น

หลายเรื่องตอนตรวจต้นฉบับก็ประทับใจ
พอได้กลับมาอ่านอีกทีก็รู้สึกดีตามไปด้วย

จุดร่วมของสิ่งดีๆ ที่หลายคนนึกถึง
ล้วนเป็นสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ และเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัว
ต่อให้คนนั้นๆ ทำงานว่าด้วยปัญหาใหญ่โตเพียงใด
แง่มุมเล็กน้อยตามสองข้างทางในแต่ละวัน
ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นคุณค่าให้อิ่มเอมใจได้ไม่ยาก

ลองทบทวนสิ่งดีๆ ในชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองจริงๆ จังๆ
นึกย้อนไปตั้งแต่จำความได้ โดยยึดเอาความรู้สึกนึกคิด ณ ปัจุบันขณะ
เป็นภาพที่นึกเรื่องราวทั้งสามเรื่อง

ดังนี้



3 สิ่งดีๆ ในชีวิตที่ผ่านมา
19 กุมภาพันธ์ 2555

-1-

ไม่ประสงค์สะสมและกอบโกย เพราะตระหนักเสมอว่าชีวิตที่ดำรงอยู่เป็นเพียงการหยิบยืมจากธรรมชาติมาใช้สอย

ไม่ประสงค์เอาเป็นเอาตายในเรื่องตัวตน เพราะตระหนักเสมอว่าชีวิตในแต่ละวันเป็นการอาศัยอยู่เพียงชั่วคราวและจากไป

ไม่ประสงค์ฟาดฟันเอาชนะในภาวะขัดแย้ง เพราะตระหนักเสมอว่าหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น เราควรมีความปรารถนาดีต่อกันให้มากที่สุด

และ...เท่าที่ความสามารถพึงมี ฉันประสงค์ที่จะแบ่งเบาภาระของคนรอบข้าง ครอบครัว สังคม และธรรมชาติเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้ที่ผ่านมาจะทำได้บ้าง-ไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกดีกับตัวเองเสมอ ที่ความตั้งใจเหล่านั้นยังคงอยู่จนปัจจุบัน

-2-

นิยามของคำว่า "ครอบครัว" ที่สมบูรณ์แบบคงแตกต่างกันไปตามความหมายที่แต่ละคนให้ ที่เป็นอยู่บางคนอาจพอใจ หรือบางคนอาจอยากได้สิ่งที่ดีกว่า

สำหรับครอบครัวของฉัน แม้จะขาดๆ เกินๆ ซึ่งกันและกันอยู่บ้าง แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีที่มีให้กันแบบปุถุชน ครอบครัวของฉันไม่ต้องเป็นต้นแบบบุคคลดังสังคมยกย่อง แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความสมบูรณ์แบบตามความหมายของฉัน และมันก็สมบูรณ์แบบมากพอที่ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะอยู่ไปเพื่ออะไร

-3-

คงยากที่จะอธิบายด้วยเหตุผล แต่ฉันรู้สึก "บางอย่าง" ทุกๆ ครั้งที่ได้เจอกับเธอ
มันอาจเริ่มต้นด้วยเราต่างสนใจอะไรคล้ายกัน แรงดึงดูดบางอย่างจึงทำให้เรามาเจอกัน
เราออกเดินทางร่วมกัน แบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน กระทั่งฉันรู้สึกว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

และความรู้สึก "บางอย่าง" ก็ค่อยๆ เกิดขึ้นและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

บางครั้ง ระหว่างทางเราก็ขัดแย้งกัน
ฉันไม่ชอบเหตุการณ์แบบนั้นเลย
เพราะมันทำให้ฉันสูญเสียช่วงเวลาดีๆ ไป
แต่อย่างไรเสีย มันก็คือความเป็นจริง

ชีวิตจริงไม่ใช่เรื่องราวที่โรแมนติก
ฉันจึงไม่สามารถล่วงรู้ หักห้าม หรือควบคุมอนาคตข้างหน้าได้
แต่ที่ฉันตระหนักอยู่ทุกวินาทีก็คือ
ฉันจะทำวันนี้ให้เต็มที่และดีที่สุด

เพราะการที่เราได้มาเจอกัน
มันคือหนึ่งในสิ่งดีดี สิ่งพิเศษ
คือความหมายที่มีคุณค่า
และเป็นสิ่งที่หนึ่งชีวิตของฉันจะบันทึกไว้ในความทรงจำ...ตลอดไป

11 กุมภาพันธ์ 2555

The Help กีดกันอย่างไร้สาระ


The Help
ภาพยนตร์ที่สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันซึ่งติดอันดับขายดีของนิวยอร์ค ไทมส์ เนื้อเรื่องเล่าถึงปัญหาในช่วงปี ค.ศ.1960 ของเมืองแจ็คสัน มลรัฐมิสซิสซิปปี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่การแบ่งแยกคุณค่าของคนผ่าน "สีผิว" กำลังรุนแรงอย่างยิ่ง

การดำเนินเรื่องอาศัยสถานการณ์เล็กๆ ในชีวิตประจำวันของ "คุณนายผิวขาว" และ "แม่บ้านผิวดำ" มาเล่าถึงปัญหาที่ฝังลึกอยู่ในสังคม ทีละฉากค่อยๆ เผยให้เห็นถึงการกีดกันอย่างไร้สาระ ตั้งแต่การแยกห้องน้ำของคนผิวดำออกมาต่างหาก ความหวาดระแวงภยันตรายจากคนผิวดำมากเป็นพิเศษ ฯลฯ

"ทัศนคติ" ของผู้คนที่ฝังตัวมายาวนานได้ค่อยๆ กลายเป็น "โครงสร้าง" กดทับความเป็นอยู่ของคนบางกลุ่ม ทั้งจากคนที่ได้รับการชูคุณค่าก็เอาเปรียบคนข้างล่างอย่างย่ำแย่ หลายคนในสังคมก็ปล่อยให้เป็นภาพชินตา หรือแม้แต่คนที่ถูกดูแคลนก็เลือกที่จะจำนนกับปัญหาอันฝังลึก เหตุการณ์ที่แบ่งแยกคุณค่าที่คนผิวขาวกระทำต่อคนผิวดำจึงกลายเป็นความเคยชินที่มีอยู่จริง ที่คนในสังคม ณ ห้วงเวลานั้นก็ทำเป็นลืมๆ และซุกเก็บปัญหาที่หมักหม่มเอาไว้ตามซอกหลืบ กระทั่งปัจจุบันก็ยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย

เมื่อผู้ชมได้รับโอกาสเป็นคนนอกที่เฝ้าสังเกต ต่อให้เราไม่มีประสบการณ์ร่วมในบริบทของเนื้อหาเดียวกัน จุดร่วมกันในความเป็น "มนุษย์" เหมือนๆ กัน ก็มีแรงสะเทือนใจมากพอที่จะทำให้เราต้องตั้งคำถามถึงความไร้สาระเหล่านั้น

อาจไม่สวยงามหรือหล่อเหลาตามค่านิยมบางอย่างที่ยึดถือ แต่เหตุใดเราถึงกีดกันเพื่อนร่วมสายพันธุ์ออกไป ดูแคลนอย่างเฉยเมย เพียงแค่เขามีสีผิวเข้มกว่าเรา ?