27 มกราคม 2555

โลกสัตย์จริง

ตั้งแต่จำความได้ ฉันเลือกที่จะเชื่อมั่นใจและศรัทธาในความจริงใจของมนุษย์มาตลอด ช่วงชีวิตมนุษย์ที่ได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน แล้วก็จากลากันไป ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่เราจะต้องมายุติไมตรีและเล่นละครต่อกันเพียงเพื่อผลประโยชน์บางอย่างที่ตนต้องการ --- ไม่เห็นเลยจริงๆ

เมื่อโลกแห่งความเป็นจริงไม่หอมหวานดังจินตนาการ ใครหลายคนเลือกที่จะตัดทิ้งมิตรภาพรอบกายอย่างไม่ใยดี เพื่อสะสมผลประโยชน์ไว้ในคลังสมบัติ ฉันจึงต้องลดทอนความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่โป้ปด และจัดวางที่ทางของตัวเองในสังคมให้ข้องแวะกับผู้คนให้น้อยที่สุด เพื่อที่ฉันจะสามารถมั่นใจได้ว่า "เพื่อน" ที่มีล้วนเป็นคนที่สามารถไว้วางใจได้อย่างเต็มเปี่ยม และชีวิตที่เหลืออยู่จะไม่ต้องกลายเป็นตัวละครบนโลกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงระหว่างกัน

ฉันใช้ชีวิตด้วยความเชื่อเช่นนั้นตลอดมา และตั้งมั่นว่าจะปฏิบัติเช่นนั้นตลอดไป

โลกแห่งความจริงส่งสัญญาณบอกฉันอยู่บ่อยครั้ง ความซับซ้อนของโลกไม่เคยปราณีใครหน้าไหน ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ได้ขยายดีกรีเพิ่มขึ้นให้ได้พบเจออยู่เรื่อยๆ ฉันไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนไปได้

ฉันยังยึดมั่นในความเชื่อเดิมไม่เปลี่ยน และพร้อมจะถอยห่างออกจากโลกที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ โดดเดี่ยวตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับความคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าโลกของฉันจะต้องพรั่งพร้อมไปด้วยความสัตย์จริงเสมอ

หากโลกนี้จะไม่หลงเหลือความจริงใจให้แก่กันอีกแล้ว ฉันว่าพื้นที่อันกว้างขวางก็หาใช่อาณาเขตที่น่าอยู่อีกต่อไป

14 มกราคม 2555

คลิปเด็กๆ ณ วันเด็ก

คลิปเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอแสดงความรู้สึกแบบตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสายตาที่ผู้ใหญ่มองเข้ามา
ผู้ใหญ่จำนวนมากนั่งดูคำพูดของเด็กหญิงด้วยท่าทีชื่นชม และลุกขึ้นปรบมือหลังคำพูดจบลง

ฉันเชื่อว่าบางคนไม่ได้ปรบมือที่เธอเป็นเด็กพูดดี
และเด็กหญิงเองก็คงไม่ได้อยากให้ผู้ใหญ่มองว่าเธอเป็นผู้ใหญ่จังเลย

...












ครั้งสุดท้ายที่คุณถูกบอกวำทำอะไรเป็นเด็กคือเมื่อไร ?
เด็กหญิงคนนี้ถาม

พูดกันตามอายุ เธอเป็นเด็ก
ส่วนความคิดและคำพูด ก็เข้าขั้นน่าสนใจยิ่ง

ฟังจบแล้วเราจะนิยามว่าเธอเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่
ฉันว่ามันคงไม่สำคัญแล้วว่าเราจะเรียกเธออย่างไร
คำพูดอันคมคายของเธอมีสาระสำคัญและอารมณ์ความรู้สึกที่พิเศษ
มันทำให้ "คนอายุเยอะ" ต้องกลับมาทบทวนท่าทีของตนต่อ "คนอายุน้อย"

เด็กอาจเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก หรือผู้ใหญ่เองก็อาจจะเป็นเด็กตัวโต
หรือนิยามทั้งสองอาจไม่มีความหมายอะไรเลยด้วยซ้ำ

ข้อมูลทางสถิติอาจบอกได้ว่า "เด็ก" หรือ "ผู้ใหญ่" ทำอะไรเข้าท่ากว่ากัน
แต่อดีตเหล่านั้น ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัจจุบันสักหน่อย

ถึงที่สุดแล้ว คำว่าท่าทีที่เข้าท่า อาจไม่มีคำจำกัดความที่ลงตัวเลยก็เป็นได้

ละเลียดถ้อยคำของเด็กหญิงคนนี้
เด็กหญิงที่ตัวเป็นเด็ก
ส่วนความคิดก็เป็นเช่นนั้นแล

13 มกราคม 2555

เรื่องปกติ ที่ไม่ปกติ

เมื่อฉันพบเจอกับพฤติกรรมที่ไม่คุ้นเคยของผู้คนเป็นครั้งแรกๆ บ่อยครั้งมันได้สร้างความแปลกใจให้ฉันต้องบอกกับตัวเองว่า "นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว"

นานวันไป คำบอกกล่าวจากคนใกล้ตัว และการเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ฉันค่อยๆ เรียนรู้ว่าหลายต่อหลายเรื่องมันเป็น "เรื่องปกติ" ในสังคมมาตลอด ฉันเองที่บ้าไปมีปัญหากับเรื่องบางเรื่อง ฉันสะสมความเข้าใจนั้นเรื่อยมา กระทั่งเริ่มมองเห็นสิ่งรอบตัวกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น

มาสายเป็นประจำ
(ก็ทุกครั้งที่สาย มันมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ นี่หน่า ใครบ้างจะอยากให้รถติดนานๆ ใครบ้างจะอยากติดธุระด่วน)

อยู่บนรถเมล์คันเดียวกัน เด็กวัยรุ่น-วัยผู้ใหญ่ที่มีเรี่ยวแรงดี เลือกที่จะนั่งนิ่งและเมินหน้าออกนอกหน้าต่าง และไม่ใยดีผู้สูงวัยที่ยืนตัวสั่นเทา หรือหญิงสาวตั้งครรภ์
(บางครั้งการพยายามกะเกณฑ์ให้ผู้คนทำในสิ่งที่ "ควรทำ" ตามนิยามของเราเอง มันก็คงไม่ถูกต้องเท่าไรนัก ทุกคนมีสิทธิในการไม่ต้องลุกให้ใครสักคนนั่ง เขาไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย)

พ่อค้า-แม่ค้าโกงตาชั่ง ผลิตภัณฑ์ที่มีหีบห่อสวยงามไม่ได้เป็นตามการโฆษณา
(นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เงินแค่ไม่กี่บาทไม่คุ้มเลยกับการเอาตัวเองไปฟาดฟันเพื่อรักษาสิทธิน่ะ)

คนส่วนใหญ่เลือกอาชีพที่พุ่งเป้าไปที่เงินตรา และไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยนอกจากเป้าหมายนั้น
(ก็เงินมันถูกออกแบบมาให้หา ให้มี ให้ใช้ วิถีชีวิตมันดำเนินไปผ่านการใช้เงินทั้งนั้น เราตั้งใจทำงานเต็มที่ แล้วก็ได้เงินมาตามที่ตกลงกัน ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนี่หว่า)

ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ หลายคนเลือกที่จะมองคนเนื้อตัวมอมแมมข้างทางด้วยสายตาแปลกแยก
(ก็วิถีชีวิตที่เป็นอยู่ไม่ได้เอื้อให้เห็นสิ่งรอบตัวอย่างรอบด้าน พวกเขาจึงไม่ได้มองเห็นว่าคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตัวเอง การแต่งกายและท่าทีที่แปลกต่าง ก็เลยต้องระแวดระวังกันหน่อย)

และอื่นๆ อีกมากมาย



ฉันจินตนาการเล่นๆ ว่า หากฉันบ่มเพาะสายตาที่มองปรากฏการณ์รอบกายว่าเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันคงต้องเห็นเรื่อง "ผิดปกติ" กลายเป็นเรื่อง "ปกติ" ไปในที่สุด

สิ่งที่ฉันกลัวมากก็คือ ฉันจะค่อยๆ กระทำสิ่งผิดปกติเหล่านั้น และสถาปนาความเหมาะควรให้กับตัวเอง ไม่อยากจินตนาการต่ออีกเลยว่า สังคมจะวุ่นวายขนาดไหนถ้ามีคนอยากฉันในวันนั้นอยู่ทุกตรอกซอกซอย

6 มกราคม 2555

บทกวีไม่ใช่ตัวฉัน

"บทกวีไม่ใช่ตัวคุณ เป็นเพียงช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ชั่วขณะที่เคลื่อนผ่านคุณไป ชั่วขณะซึ่งคุณตื่นรู้พอที่จะเขียนมันออกมา และฉวยเวลาตรงนั้นไว้" นาตาลี โกลด์เบิร์ก

...

ที่ผ่านมาฉันหลงคิดไปว่าห้วงขณะที่ฉันสัมผัส
ความสัตย์จริง ความดีแท้ และความงดงาม
เหล่านั้นเป็นสมบัติส่วนตัวที่ฉันหามาได้
ฉันกำลังครอบครองมันไว้
ฉันคิดเช่นนั้น
ฉันหลงคิด

ใช่ ใช่ที่สุด
ฉันรู้สึกว่ามันเป็นดังที่เธอว่า
เธอเปรียบเปรยได้ตรงไปตรงมา
ฉันขอบคุณ

เธอบอกฉันว่ามันไม่ใช่ มันไม่ใช่เลย
สรรพสิ่งเหล่านั้นหาใช่ของฉัน
ฉันเพียงอยู่ในภาวะดิ่งลึกชั่วขณะ
และเพียงสัมผัสบางสิ่งบางอย่างออกมาได้
กระทั่งมันค่อยๆ เลือนจางหายไป

ฉันจดจำมันไว้ในห้วงความคิด
ฉันบันทึกมันไว้ในถ้อยภาษา
ฉันมองหาคนเห็นด้วย
ฉันคิดว่าฉันเป็นเช่นนั้น

ฉันขอบคุณเธออีกครั้ง
ฉันขอบคุณภาวะดิ่งลึก
ฉันได้รู้ว่าสรรพสิ่งที่ปรากฏขึ้นหามีเจ้าของไม่

บทกวีไม่ใช่ตัวฉัน
บทกวีคือบทกวี

2 มกราคม 2555

ว่าด้วยกาลเทศะและวุฒิภาวะ

มนุษย์ทุกคนล้วนแตกต่างกัน บางคนอาจเหมือนกันในบางเรื่อง หรือบางคนอาจเหมือนกันในหลายต่อหลายเรื่อง แต่จะมากจะน้อย มนุษย์ทุกคนก็แตกต่างกัน

ช่วงวัยคือความต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่ง การนิยามกว้างๆ ว่าช่วงวัยแบ่งได้เป็น 'เด็ก' และ 'ผู้ใหญ่' ทำให้เราได้เห็นการปะทะกันของความต่างแบบกว้างๆ ได้ ทั้งกระบวนทัศน์ในการมองโลก การให้คุณค่ากับสิ่งที่ต่างกัน ไปจนถึงในการกระทำเดียวกัน 'เด็กและผู้ใหญ่' อาจเห็นความดี-ชั่วต่างกันอย่างสุดขั้วเลยก็เป็นได้

เด็กแต่งตัวตามที่พอใจและสบายตัว
ผู้ใหญ่แต่งตัวตามความหมายของปลายทาง

เด็กไม่ระมัดระวังปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ผู้ใหญ่แจกแจงปัจจัยเสี่ยงก่อนลงมืออย่างรอบด้าน

เด็กเห็นปรากฏการณ์ตรงหน้าด้วยอารมณ์อันอ่อนไหว
ผู้ใหญ่มองปรากฏการณ์ตรงหน้าด้วยความเข้าใจที่ไปที่มา

เด็กมองหาความวูบวาบของชีวิต และเลือกพิชิตมันด้วยพลังอันล้นเหลือ
ผู้ใหญ่สืบหาแนวทางที่คงที่ เพื่อที่จะมีชีวิตที่เหลืออย่างคงทน

ฯลฯ

หนทางที่จะทำให้ความต่างเหล่านั้นสามารถมาอยู่ด้วยกันได้โดยไม่เกิดปัญหามากนัก พวกเราคงต้องปรับตัวด้วยการลดนู้นนิด-เพิ่มนี่หน่อย

เด็กน้อยคงต้องค่อยๆ เรียนรู้ที่จะทำอะไรให้สมเหตุสมผล และผู้ใหญ่เองก็คงต้องอาศัยประสบการณ์มาเลือกสรรท่าทีในการแสดงออกให้กำลังพอดี

มนุษย์พยายามสืบค้น 'หนทาง' นั้น ที่ทางอันจะทำให้ความต่างของวัยเวลาสามารถ 'อยู่ร่วมกัน' อย่างปกติสุข พวกเขาค่อยๆ คิดค้นและสร้างความหมายบางอย่างขึ้นมาในใจพวกเขา และตั้งชื่อมันว่า 'กาลเทศะและวุฒิภาวะ' กระทั่งกลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นในชีวิตของสองช่วงวัยอยู่ในปัจจุบัน

สิ่งสมมุติทั้งสองมีประโยชน์ยิ่งในการปรับตัวเข้าหากัน ไม่ให้กระทำตามใจจนก้าวเกินไปยังพื้นที่ผู้อื่น แต่จริงหรือไม่ว่า ? ความพยายามที่จะผสานความแตกต่างให้ออกมากลมกลืนเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักอยู่ทุกวินาทีว่า ขณะที่โลกใบนี้มี 'บางสิ่งบางอย่างสิ่ง' มาทำให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรได้รับ 'เสรีภาพ' ในการทำอะไรๆ ไปพร้อมกันด้วย

สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นอย่าง 'รัฐธรรมนูญ' ได้ให้ความหมายของคำว่า 'เสรีภาพ' ไว้ว่า

ภาวะความเป็นเสรีที่มนุษย์หรือบุคคลสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ใจปรานารถนา ตราบเท่าที่ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฏหมายของบ้านเมืองหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น

หลายต่อหลายครั้ง เราพบว่า 'ความหมาย' ที่สร้างขึ้นเพื่อการอยู่ร่วม กลับกลายเป็นการคุกคาม 'เสรีภาพ' ของคนหนึ่งไปพร้อมๆ กับสถาปนา 'คุณงามความดี' ให้กับใครอีกคนหนึ่ง หรือหนักเข้าก็เป็นการพยายามคุกคามอย่างจงใจไปเลย

พูดแบบห้วนสั้นที่สุด 'กาลเทศะและวุฒิภาวะ' เป็นสิ่งที่สามารถอธิบาย 'ความเหมาะสม' ในการปฏิบัติต่อกันได้เพียงบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ลองจินตนาการดูเล่นๆ ว่าที่ผ่านมา เราเคยรู้สึกถูกขัดใจ และต้องฝืนทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้โดนสายตาคนรอบข้างทำร้ายบ้างไหม ? อีกนิดหนึ่ง ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ผิดบาปร้ายแรงอะไรด้วยนะ



........



เด็กจำนวนไม่น้อยก็ถูกกล่าวโทษด้วยคำว่า 'ไม่มีกาลเทศะ'
ผู้ใหญ่บางคนถูกจำกัดการกระทำด้วยคำว่า 'วุฒิภาวะ'

หากเทียบเป็นการปรุงอาหาร การอยู่ร่วมกันของส่วนผสม คงไม่ต้องถึงกับเป็นการปรุงรสที่หอมหวานรสชาติดี-เสมอไป (แกงบางถ้วยสามารถโคตรอร่อยกับคนหนึ่ง แต่สามารถรสชาติแย่สุดๆ กับอีกคนหนึ่งได้เสมอ) เพียงแค่สามารถทานได้โดยไม่ท้องเสีย ก็ถือว่าน่าพอใจมากแล้ว เพราะความแตกต่างมีอยู่ในทุกสิ่ง จนเรียกได้ว่าไม่มีอะไร-สิ่งใดมีความเหมือนกันเลยในโลก

แต่น่าแปลกใจยิ่ง ที่บนเส้นทางแห่งการเกิด-ดับ มนุษย์บางคนเลือกที่จะการันตีความดีงามไว้กับสิ่งที่เหมือนตนเอง และขับไล่สิ่งแตกต่างออกไปอย่างฉับพลัน เราจะเอาอะไรมาวัดความผิดถูกในการกระทำใดๆ ของใครสักคน คงมีเพียงความพึงพอใจ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ที่จะใช้ทำหน้าที่ยืนยันกับตัวเราได้

จริงหรือไม่ว่า ? หลายต่อหลายครั้ง มนุษย์ก็ไม่เคยพอใจอะไรที่ต่างจากตัวเองได้เลย