13 เมษายน 2555

หมายหมอ

1
อาการปวดท้องไม่ใช่เรื่องใหม่ในชีวิต ตั้งแต่จำความได้ ผมก็โตมากับคำเตือนว่า "เคี้ยวอาหารให้ละเอียดนะ" เพราะถ้ารีบๆ จะทำให้กระเพาะย่อยอาหารไม่สะดวก จน "ปวดท้อง" ได้

ยาน้ำสีเขียวที่รสชาติแย่ๆ ยาธาตุน้ำแดงที่อร่อยขึ้นมาหน่อย และยาธาตุน้ำขาวที่เพิ่งมาใช้บริการเมื่อไม่นาน ทั้งหมดนี้คือ ทางออกที่ผมใช้คลายอาการ และส่วนใหญ่ก็ได้ผลมาตลอด คงมีบ้างที่ไม่หายดังรวดเร็วคุ้นเคย แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าทุกๆ ครั้งเป็นอาการปวดท้องที่เรารู้จักกันดี ไม่หายวันนี้ อีกไม่นานก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่กับครั้งนี้ ผมรู้สึกไม่คุ้นเคยกับอาการ 'ปวดท้อง' ที่เป็นอยู่เอาเสียเลย

จากที่เด็กๆ เคยปวดจนบิดไปบิดมา ร้องโอดโอยในความคิดและน้ำเสียง และลดความถี่ลงเมื่อโตขึ้น คราวนี้กลับเป็นอาการปวดท้องที่ผมรู้สึกไม่คุ้นเคย มันเป็นอาการปวดท้องที่นอนนิ่งๆ ก็ไม่ปวด แต่หากกดลงไปที่ท้องด้านซ้ายหรือขยับตัวแรงๆ ก็จะปวดมากทันที

คล้ายคนกินน้ำเยอะๆ แล้วออกวิ่ง หรืออาจคล้ายคนที่โดนต่อยเข้าเต็มท้อง -- ผมจินตนาการคำอธิบายไว้ล่วงหน้าเผื่อมีคนถามความรู้สึก

ตรงกับวันหยุด มีประกันสังคม และอยากใช้เวลากับวันหยุดที่เหลืออย่างสบายตัว ผมจึงตัดสินใจไปหาหมอเพื่อบอกเล่าอาการ โดยหวังว่าจะได้รับยาที่ทำให้อาการหายไปโดยไว

2
โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านวันนี้แทบไม่มีคนไข้เลย ผมยื่นบัตร เดินไปวัดความดัน บอกอาการเบื้่องต้นกับพยาบาล และไม่ถึง 5 นาที ผมก็เข้าไปพบหมอ

"เป็นอะไรมาครับ" หมอถามขึ้น พร้อมก้มหน้าก้มตาอ่านกระดาษในแฟ้มที่ระบุอาการเบื้องต้นของผม

"ผมปวดท้องข้างซ้ายครับ" ผมระบุพิกัดอาการ พร้อมกับชี้จุดให้ชัดเจนเพิ่มขึ้น "ปกติผมปวดท้องบ่อยมาก แต่ครั้งนี้รู้สึกได้ว่ามันแปลกๆ ไป ไม่ค่อยเหมือนที่เคยปวดมา"

หมอเงยหน้าขึ้นจากแฟ้ม และถามคำถามต่อ

"ปวดมากี่วันแล้ว" เขาพูด
ผมนิ่งคิดสักครู่ "สัก 2 วันครับ"

"กินเหล้า-เบียร์หรือเปล่า"
"กินอาหารรสจัดไหม"
"ปกติกินข้าวเย็นตอนกี่โมง"
ฯลฯ

หมอระดมคำถามมาอย่างรวดเร็ว สิ้นเสียงของคำตอบเพียงเสี้ยววินาที เขาก็ถามคำถามต่อไปทันที แต่ละคำถามคล้ายเป็นข้อสอบปรนัย ที่คุณมีหน้าที่ตอบคำถามตามโจทย์ที่ได้รับ โดยไม่ต้องอธิบายเหตุผลหรือรายละเอียด เพราะนี่ไม่ใช่ข้อสอบอัตนัย คำอธิบายไม่มีประโยชน์ใดๆ หากเขาไม่ต้องการมัน

แม้ผมจะตอบไปว่าไม่กินเหล้า กินอาหารรสไม่จัด และปกติกินข้าวสัก 1 ทุ่ม - 2 ทุ่ม เมื่อกลับมาถึงบ้าน ซึ่งผมทั้งไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะปวดท้อง และพฤติกรรมกินอาหารหัวค่ำก็ทำอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่จำความได้ แต่หลังจากหมอได้คำตอบ และเอาหูฟังมาแตะๆ ที่ท้องผมไม่ถึง 10 วินาที หมอก็สรุปอาการแปลกใหม่ของผมว่าเป็น "ลำไส้อักเสบ" โดยพลัน ทั้งที่น่าจะถามอะไรที่มากกว่าคำถามสำเร็จรูปเหล่านี้

ผมเดินออกมาหลังจากได้ยินคำบอกกล่าวของหมอว่า "เชิญรับยาด้านนอกได้เลย" พร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดใจกับท่าทีของหมอพอสมควร ที่เขาแทบไม่เงยหน้าขึ้นมา "พูดคุย" และการ "ถาม-ตอบ" ก็เกิดขึ้นผ่านรูปแบบเดิมๆ ที่เขาน่าจะใช้เป็นประจำ

หมอคุยผมไม่ถึง 5 นาที รวมกับเวลาหลังจากก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลอีก 5 นาที และรวมเวลารอรับยาอีกสัก 5 นาที ผมจึงหมดเวลากับการสำรวจอาการที่ไม่คุ้นเคยไปเพียง 15 นาทีเท่านั้น

3
หากอาการของผมอาจเป็นดังที่หมอว่า การพูดคุยอาจไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับการบรรเทาอาการ เพียงเขาสามารถจ่ายยาที่ทำให้หายได้ เขาก็ได้ให้ในสิ่งที่ผมควรจะพอใจ และการมาโรงพยาบาลครั้งนี้ ยังเหลือเวลาให้ผมกลับมาทำอย่างอื่นอีกมากมาย

ผมก้าวออกจากโรงพยาบาล พร้อมกับความรู้สึกราวกับไม่ได้รับการรักษาใดๆ จากหมอเลย

2 เมษายน 2555

จนตรอก




ชีวิตของบุญมาก็เหมือนๆ กับคนจำนวนมากในปัจจุบัน
ที่ชีวิตไม่มีหนทางให้เลือกเดินมากนัก
หรือบางทีอาจไม่มีเลย

ชีวิตของเขาและครอบครัวยากลำบากมาโดยตลอด
แต่พวกเขาก็เลือกที่จะมุ่งมั่นกับชีวิตอย่างเต็มแรงกาย
เผชิญชะตากรรมอยู่ตามซอกหลืบของสังคม
ประคับประคองชีวิตที่สุดทนไปอย่างเงียบเชียบ
เผื่อว่าชีวิตของเขาในวันข้างหน้า...จะดีกว่าเดิม

"จนเพราะขี้เกียจ"
บุญมาอาจตระหนักในข้อความนี้
เขาจึงขยัน ทำงานหนัก เพื่อแลกกับเศษเงินมาประทังชีวิต

แม้โครงสร้างที่โอบล้อมจะบีบรัดเขามากแค่ไหน
บุญมาก็ยังดำเนินชีวิตบนเส้นทางของ "ศีลธรรม"
คิดหน้า คิดหลัง เพื่อไม่ให้วันข้างหน้าต้องลำบาก

บุญมาต้องเจอข้อจำกัดสารพัดในชีวิต
เขาเคยเช่าบ้านอยู่กับครอบครัวแบบอัตคัต
แต่จะว่าไป การหาเช้ากินค่ำกับบ้านเช่าหลังนี้
ก็เป็นชีวิตที่พออยู่ไปได้เรื่อยๆ

แต่ทว่า "บ้าน" ที่ตัวเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ
ก็ไม่สามารถสร้างความรู้สึกเป็นหลักเป็นฐานให้ได้

บุญมาอยากมี "บ้าน" เป็นของตัวเอง
บ้านที่กายภาพอาจทรุดโทรมกว่าเดิม
แต่อย่างน้อยๆ ตัวเขาก็สามารถพูดได้ว่ามันเป็นของเขา

เมื่อเขากู้เงินจำนวนหนึ่งมาเพียงสร้าง "บ้าน"
บ้านของตัวเอง ที่สภาพย่ำแย่จนไม่มีใครอยากอาศัยอยู่
เขาหวังว่าชีวิตของตัวเองกับครอบครัวจะดีขึ้น
แต่การหวังนั้น ได้แปรเปลี่ยนเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ "จนตรอก"

ความรู้สึกแบบซื่อตรงที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง
ได้แปรเปลี่ยนเป็นความทะเยอทะยานของคนไม่เจียม
หนี้สินที่เริ่มต้นไม่มากนัก ก็ต้นทบดอก ดอกทบต้น

...


บุญมารู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปสิ้นเชิง
ระหว่างทางที่ยากลำบากไม่เคยปรากฏแสงสว่างให้เขาได้ชื่นใจ
อุปสรรคถาโถมสู่เขาในทุกรายละเอียด
ครอบครัวแตกแยกจนไม่หลงเหลือความเป็นหนึ่งเดียว

บุญมาเลือกยุติลมหายใจตัวเองลง
แต่โลกอันงดงามไม่อนุญาตเขา
เขายังต้องลุกขึ้นมาเผชิญชะตากรรมอีกครั้ง
...เพียงลำพัง