21 พฤษภาคม 2555

เธอวันนี้

มากคนที่พบเจอ
หวังเพียงเธอเดินเข้ามา
ต่อเติมวันเวลา
ด้วยศรัทธาและจริงใจ

หนึ่งวันที่ขัดแย้ง
อาจคือแสงอันสดใส
หากเราได้เปิดใจ
เพื่อร่วมไปบนต่างกัน

หนึ่งวันที่ขัดแย้ง
อาจทิ่มแทงเธอและฉัน
หากเราสองคนนั้น
ปิดกั้นกัน ปิดกั้นใจ

ฉันเชื่อการพบเจอ
ได้มีเธอ ได้มีกัน
ต่อเติมรักและฝัน
ไม่ว่ามันจะสั้นยาว

วันนี้ฉัน "ศรัทธา"
กาลเวลาก็ปล่อยมัน
"จริงใจ" กระทำกัน
เพื่อหนึ่งวัน เพื่อหนึ่งคน

20 พฤษภาคม 2555

ไกลออกไป ณ ปัจจุบัน

รายล้อมด้วยผู้อื่น
จนที่ยืนช่างหดแคบ
หนึ่งชีวิตที่ต้องแลก
หวังไม่แตกโดยประคอง

เฝ้ามองความต้องการ
แต่ละด้านด้วยสับสน
เพื่อคนหรือเพื่อตน
หรือเพื่อฝนเพื่อฝึกกัน

วันนี้หรือวันหน้า
ฟันและฝ่าสิ่งกีดขวาง
เริ่มเดินบนเส้นทาง
หวังเพื่อสร้างปัจจุบัน

ฉันเดินอย่างหนักแน่น
หวังถึงแก่นของสาระ
ปะทุและปะทะ
เพื่อวันหนึ่งจะเข้าใจ

มุ่งไปด้วยสั่นคลอน
ทั้งโอนอ่อนและศรัทธา
หวังว่าวันเวลา
จะพาฉัน ไปเข้าใจ

7 พฤษภาคม 2555

ผม-เชื่อ

ผมเชื่อในความโดดเดี่ยว
แม้ใครจะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่จำเป็นต้องปะทะสังสรรค์กับผู้คนอันหลากหลาย ผมเห็นด้วยอยู่บ้าง ว่าทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่คุ้นเคยเป็นสิ่งจำเป็น แต่คงไม่ถึงขนาดที่เวลาทุกวินาทีมีไว้สำหรับเจอผู้คน ไปไหนมาไหนคนเดียวคล้ายเป็นเรื่องผิดบาป

ผมเชื่อว่ามนุษย์ควรอยู่คนเดียวให้เคยชิน ไปไหนมาไหนคนเดียวให้เป็นเรื่องปกติ เหงาบ้างบางครั้งคราวก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เมื่อมีทักษะการอยู่อย่างโดดเดี่ยวไว้เป็นพื้นฐานแล้ว จะมีเพื่อน จะมีแฟน จะต้องเจอผู้คนอีกกี่มากน้อย เราก็วางสถานะสัมพันธ์เหล่านั้นเป็นกำไรชีวิต เพื่อที่แยกย้ายกันทันใด เราก็จะอยู่คนเดียวได้ ไม่มีปัญหา


ผมเชื่อในการใช้สอยเท่าที่จำเป็น
ตั้งแต่สังคมนิยามเงินตราขึ้นมาใช้เพื่อแลกเปลี่ยน ออกจากบ้านไปไหนไม่ไกลนัก เราก็เจอกับข้าวของสารพัดประเภท หลากหลายรูปแบบ มากสีสัน และราคาที่แตกต่างกันไป

เมื่อเงินตราถูกขับเน้นให้กลายเป็นศูนย์กลางของชีวิต มนุษย์ผู้ใดมีสะสมไว้เป็นเจ้าของมากเท่าไร ย่อมหมายถึงการเลือกหาสิ่งต่างๆ ให้ได้มาตามใจชอบ การค้าขายจึงเปลี่ยนจากเราต้องใช้อันนี้ ก็ไปหาอันนี้มาใช้ มาอาศัยสารพัดวิธีการมาล่อหลอกให้ผู้คนคิดว่าโน้นก็จำเป็น นี่ก็จำเป็น จำเป็นไปเสียทุกอย่าง

แต่ผมเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้ว "มนุษย์" แต่ละคนมีความจำเป็นในการใช้สอยไม่ต่างกันมาก คงแบ่งแยกรายละเอียดหยาบๆ ได้เป็นหญิงและชาย ที่ธรรมชาติของร่างกายมีการทำงานต่างกัน เพิ่มให้อีกหน่อยกับรายละเอียดประดิษฐ์ที่ว่าผู้หญิงต้องเป็นแบบนั้น และผู้ชายต้องเป็นแบบนี้  นอกจาก "กิน ขี้ ปี้ นอน" ผมว่าที่เหลือเป็นสิ่งล้นเกินของชีวิต

เสื้อผ้า อาหาร เครื่องประดับ ฯลฯ ผมว่ามีไว้เท่าที่จำเป็นก็พอ เพราะจะว่าไป มันไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิตเท่าไรเลย มีแล้วก็ไม่ต้องไปมีซ้ำ ชำรุดก็ไม่ต้องเร่งซื้อ ซ่อมแซมกลับมาใช้ใหม่ ดูจะน่าชื่นชมกว่าเป็นไหนๆ


ผมเชื่อว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์
ที่เห็นว่าแตกต่างหลากหลายในช่วงวัย รูปร่าง-ท่าทาง ลักษณะนิสัย ข้าวของเครื่องใช้ แต่ยังไงเสีย ผมก็เชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าเท่าๆ กัน

จะเป็นคนมีเงินในกระเป๋าไม่จำกัดปริมาณ ตะบี้ตะบันใช้ยังไงก็ไม่หมดสักที หรือคนที่ล้วงกี่ทีก็ว่างเปล่า จะหยิบจับไปแลกข้าวสักจานยังไม่มี -- ผมว่าเขาเป็น "มนุษย์" เท่าๆ กัน

จะคลอดมาจากท้องของแม่ที่ร่ำรวย-หรูหรา-เลิศเลอในสถานะเพียงใด ผมก็เชื่อว่าเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กน้อยที่ต้องอาศัยแรงเบ่งจากหญิงยากแค้นที่ต้องพึงพาหมอบ้านๆ มาช่วยทำคลอด

เราอาจรู้สึกขัดแย้งว่าจะเท่ากันได้อย่างไร ก็เห็นๆ อยู่ว่าคนนั้นกับคนนี้แตกต่างกันแทบจะสิ้นเชิง คล้ายจะจริง แต่ผมว่าถ้าเราตั้งต้นด้วยความไม่เชื่อว่ามนุษย์เท่ากันแล้ว คนที่ยืนอยู่บนๆ ก็คงเอาแต่ย่ำเหยียบคนข้างล่างอยู่ร่ำไป จิตสำนึกนี้จึงต้องได้รับการกระจายไปทุกหนแห่ง

เราควรท่องจำเอาไว้กันหลงลืม
...เพื่อให้ทุกคนเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ แม้ทั้งชีวิตจะไม่เคยได้พบว่าความเท่ากันนั้นมีอยู่ตรงหน้าเลยก็ตาม