เมื่อใครต่อใครเลือกที่จะให้คุณค่ากับคนที่ออกมาทำกิจกรรม 'จิตอาสา' จนล้นเกิน และเรียกร้องไปยังผู้คนวงกว้าง แง่หนึ่งมันได้สร้างปรากฏการณ์ลงแขก 'ทำดีร่วมกัน' มากขึ้นกว่าเดิมอย่างก้าวกระโดด เชื่อม 'ปัญหา' และ 'ผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา' ให้มาใกล้ชิดกันมากขึ้น จนคล้ายโลกใบนี้ได้น่าอยู่ขึ้นอย่างทันทีทันใด
แต่ในขณะที่สังคมกำลังเรียกหา 'คนทำดี' อยู่นั้น เราอาจพบว่าการใช้เวลาสั้นๆ ในการขึ้นรูปบางสิ่งบางอย่างเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม หรือเพื่อธรรมชาติ มันอาจไม่ใช่การลดปัญหาที่มีเลย มิหนำซ้ำหลังฉากจบอันงดงามของหลายกิจกรรม มันกลับยิ่งเพิ่มปัญหาให้กับคนเล็กคนน้อยต้องจำยอมอยู่ และคอยตามล้างตามเช็ดอีกมากมาย
หากจะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างปกติสุข แน่นอนว่าการมีคน 'ทำดี' ย่อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมกว่าคน 'ทำไม่ดี' แต่ถึงที่สุดแล้ว สิ่งดีงามกลับไม่เคยมีความเป็นสากลอย่างกว้างขวาง อัตลักษณ์ดีงามที่เกือบทั้งสิ้นล้วนเป็นของใครของมันอีกเช่นกัน
ข้อเท็จจริงสำคัญเลยก็คือ แม้บางครั้ง 'การทำดี' และ 'คนทำดี' จะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่หากไม่หน้ามืดตามัวจนเกินไป เราจะพบว่าในหลายๆ ครั้งมันเป็นคนละเรื่องกันอย่างมาก
เราแทบไม่เคยเห็น 'การทำดี' ของคนบางกลุ่มในสังคม ทั้งๆ ที่เขาอาจมุ่งมั่นรักษาผืนป่าไว้อย่างกล้าหาญ ใช้ชีวิตแบบพออยู่พอกินโดยตระหนักว่านั่นคือการเก็บออมไว้ให้ลูกหลาน หรือแม้แต่ลุงป้าที่ตักอาหารให้เด็กน้อยพูนจานในราคาเท่าเดิม
ขณะที่คนอีกกลุ่มกลับได้รับการชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำอีก ถูกเชิดชูพฤติกรรมราวกับเป็นแกนนำในการลดทอนปัญหา ทั้งที่ในสถานการณ์หลังฉาก เขาอาจหยิบจับอะไรนิดหน่อย และเพียงยืนยิ้มถ่ายรูปหล่อๆ สวยๆ เท่านั้น
สวัสดี สยามเมืองยิ้ม
(บันทึกความคิดไว้ในเฟซบุ๊กเมื่อ 21 ธันวาคม 2554)
30 ธันวาคม 2554
28 ธันวาคม 2554
เริ่มต้นอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการสร้าง 'พื้นที่' สำหรับบันทึกเรื่องราวต่างๆ
ผมเคยมีบล็อกแบบนี้มาหลายครั้ง และทุกๆ ครั้งก็ตั้งใจจะบันทึกอย่างสม่ำเสมอ
แต่หลังจากเริ่มต้นไปได้ไม่เท่าไร ผมก็ไม่เคยทำได้สักที
ครั้งนี้ลองเริ่มต้นใหม่ดูอีกครั้ง เริ่มใหม่มันทุกขั้นตอน
กระทั่งเริ่มต้นสัญญากับตัวเองอีกครั้งว่าจะนับหนึ่งใหม่แบบหนักแน่นให้ได้
ถ้ามีเผลอออกนอกเส้นทางบ้าง ก็จะกลับเข้ามาใหม่ กลับมาให้ได้มากที่สุด
หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่ละวันที่สิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามาในกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ผมพบเจอสิ่งถูกใจ ไม่พอใจ จดจำได้ดี หลงลืมทันทีที่ผ่านเลย
แต่ผมเชื่อนะ เชื่อว่าทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา ล้วนสามารถเปลี่ยนเป็น 'ตำรา' คุณภาพดี
ตำราที่แต่ละหน้าเปิดโอกาสให้เราได้ทบทวนเนื้อหาของชีวิตได้ตามสบาย
ทบทวนชีวิตที่ผ่านมาและผ่านไปทุกวินาที
ความหมายระหว่างบรรทัดเหล่านั้น สอนอะไรเรา ?
จะว่าไป 'ระหว่างทาง' ไม่เคยพร่ำสอนด้วยท่าทีบังคับขู่เข็ญ
มันก็เป็นไปตามปัจจัยของมัน และเปิดกว้างให้เราได้ถอดรหัสคำสอนตามอัธยาศัย
ขอเพียงเราเปิดรับด้วยท่าทีของ 'ผู้เริ่มต้น'
เริ่มต้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่
และเริ่มต้นได้ทุกวินาที
ผมเองเห็นข้อดีของการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านไปพบ
เมื่อบันทึกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเก็บไว้ เวลาผ่านไปกลับมาเปิดดู ทีละเรื่องราว
นั่งอมยิ้มความประทับใจนานา นั่งดูกาลเวลาที่เคยประทับไว้
เปลี่ยนบ้าง แปลงบ้าง ตามเหตุและผล แล้วมันก็ผ่านเลยไป
และเหลือไว้เพียงความทรงจำ
สวัสดี กาลเวลา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)