22 กรกฎาคม 2555

ตัวใครตัวมัน

ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร
ผมรู้ ผมเข้าใจ

อาจจะไม่รู้ทั้งหมดครบถ้วน แต่ความเป็นเหตุเป็นผลในหัวของผม ก็มีปริมาณมากเพียงพอแน่ๆ สำหรับการจัดการความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ตั้งแต่ต้นไม้-ใบหญ้า สิงสาราสัตว์ การตั้งอยู่ของวัตถุ คนในครอบครัว คนที่ผ่านเข้ามาในแต่ละสถานการณ์ ไปจนถึงความสัมพันธ์ของผมกับตัวเอง

หากต้องการให้ชีวิตประจำวันดำเนินไปอย่างปกติสุข
ผมควรเปิดใจรับความหลากหลายของผู้คน
สอดส่องหาแง่งามของสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านเข้า
ยินดีให้สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่
ปล่อยให้ความถดถอยทำงานของมันไปตามสภาพ
อยู่กับสิ่งที่เป็น ไม่ใช่สิ่งที่หวัง

...

ทั้งหมดทั้งมวลก็ง่ายๆ
ผมแค่ต้องไม่ไปกะเกณณ์สิ่งที่ควรจะเป็น
แม้ผมจะจินตนาการสิ่งสมบูรณ์แบบไว้แล้วก็ตาม
แต่ผมต้องตระหนักว่าโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ
ไม่ว่าใครๆ หรือสิ่งใดๆ ก็ตาม
ล้วนมีตำหนิ บกพร่อง ขาดแคลน และไม่เคยครบถ้วน

ผมรู้
แล้วผมก็รู้ว่าใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นแหละ

และแน่นอนว่าเมื่อใครๆ ก็รู้ โลกใบนี้ก็น่าจะปกติสุข
หากทุกคนขยับเข้าขยับออกในความสัมพันธ์
จัดระยะห่างของสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสม
มันก็ไม่เห็นจะต้องมีปัญหาอะไร

แต่สรรพสิ่งบนโลกก็หาได้ปกติสุขเลย

คงต้องมีบ้างแหละ ที่ใครจะไม่พอใจความไม่ปกติสุขของโลก
คนที่ขัดแย้ง ไม่พอใจ กับสิ่งต่างๆ ที่ไม่เป็นไปดังหวัง

สำหรับหลายคน
ภาวะนั้นอาจไม่รุนแรง หนักหนา และเป็นอุปสรรคในการหายใจ
แต่ไม่ใช่สำหรับผม

มันปะทะ ปะทุ จนกระทั่งผมไม่สามารถปะติดปะต่อสิ่งที่อยู่ภายใน
ให้มีร่องรอยแบบปกติกับเขาได้
มันเริ่มต้นทีละน้อย และมากขึ้นทีละหน่อย

หากหมายถึงว่า เราจะอยู่กับชีวิตประจำวันได้อย่างไรให้ปกติสุข
ผมรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
จนผมเริ่มรู้สึกแปลกแยกรุนแรง
ว่าผมจะทำยังไงถึงจะนำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
มาใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ตรงหน้าได้อย่างไร

17 กรกฎาคม 2555

ดูหนัง

1
เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวย่อมมีเหตุ มีผล ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นลอยๆ แบบไร้คำอธิบาย การได้ตั้งคำถามว่าทำไมบุคคลที่หนึ่ง-สอง-สามทำไมถึงทำเช่นนั้น และค่อยๆ ลงมือสืบค้นหาคำตอบ จะวันนี้ จะวันหน้า ยังไงๆ ก็ควรทำให้ได้สักวัน

ว่ากันว่าถึงที่สุด คำอธิบายว่า 'ไม่มีเหตุผล' แท้จริงก็คือเหตุผลแบบหนึ่ง

'กิน ขี้ ปี้ นอน' มนุษย์ที่ใช้ชีวิตแบบโลกๆ คงมีหลักใหญ่ใจความไม่แตกต่างกันมากนัก ภาวะภายในก็ยังคงเดิมๆ ตั้งแต่อดีตหลายๆ ปี มาจนปัจจุบัน

อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง หรือสังเกตสังกาเรื่องราวรอบตัว

นั่งมองลุงดำ ป้าแดง ตาแม้น ยายปริก พี่กิ๊บซี่ น้องพอลล่า แล้วคิดใคร่ครวญว่าพวกเขาทำอะไรกัน เราน่าจะได้ต้นทุนมาทำความเข้าใจต่อว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราคืออะไร

คงไม่สูญเปล่า หากเราให้เวลากับการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว

เพราะมันก็คือ การได้เข้าใจปัจจุบัน และอาจมีเศษเสี้ยวที่จะสามารถบรรเทาความมึนงงของอนาคตได้

2
เบื้องหลังหนังสักเรื่อง ก็คือ การพยายามทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว ใช้ศาสตร์เฉพาะทางมากำกับ และปล่อยให้เนื้อสารค่อยๆ ไหลเข้าไปยังการรับรู้ของผู้ชม

หนังดีๆ สักเรื่องก็คงไม่ต่างอะไรกับ 'การทำความเข้าใจชีวิต' ของคนอื่น เพื่อนึกย้อนมาเข้าใจตนเอง
...
ผมเดินออกมาจากโรงหนังด้วยความรู้สึกว่าเวลากว่าชั่วโมงครึ่งคือการละเลียดเครื่องหมายคำถาม หนักเข้าเมื่อได้ยินคนด้านหน้าพูดว่า "หนังดีๆ มากเลยนะเธอ" ผมเริ่มมีคำถามกับสมาธิและช่องรับสัญญาณของตัวเองว่ายังใช้การอยู่ได้หรือเปล่า

"เราดูไม่เข้าใจเลย" ผมตอบกลับคนที่มาดูด้วยกันไปตรงๆ
"แล้วถ้าไม่ต้องคิดเลยล่ะ รู้สึกยังไงกับการดู" เธอถามกลับ
"เราคิดไม่ออกว่ารู้สึกยังไง" ผมอธิบายความรู้สึกด้วยความคิด

แล้วเธอก็เล่าสิ่งที่เธอได้จากหนังเรื่องนั้นให้ฟัง ผมใช้สมาธิที่มีอยู่น้อยนิดในขณะนั้นเชื่อมต่อเหตุและผลทีละสิ่ง แต่ก็ยังเดินไปยังป้ายรถเมล์ด้วยความรู้สึกมึนตึ้บอยู่ดี

3
'คุณอาจดูหนังของเขาไม่เข้าใจ' นิตยสารเล่มหนึ่งบอกถึงหนังที่ผมเพิ่งได้ดูมาไว้ประมาณนี้

ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ว่าไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ออกมาด้วยความมึนงง

ขออธิบายสั้นๆ ก่อนว่า ที่บอกว่าไม่เข้าใจ ผมเพียงไม่สามารถเชื่อมโยงความคิดของผู้อยู่เบื้องหลังให้กลายเป็นก้อนกลมๆ ว่าทั้งหมดที่ผมนั่งดูนั้น เขาต้องการจะบอกอะไร

แต่ภาพสวยๆ ที่เขาถ่ายออกมา อารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร การตัดต่อที่แปลกออกไปจากหนังในโรงส่วนใหญ่ ฯลฯ ก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ครบถ้วน เข้าขั้นหนังที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง

เพียงแต่ผมไม่เข้าใจมัน-เท่านั้น

4
พอรู้ว่าไม่ใช่คนเดียวที่ไม่เข้าใจ ทำให้ผมเหมือนจะเข้าใจอะไรมากขึ้น

หนึ่ง - แม้หนังทุกเรื่องล้วนมี 'ใจความ' ของสิ่งที่อยากบอกอยู่ทั้งสิ้น แต่ความน่าสนใจย่อมมาจากสิ่งอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน

สอง - ไม่เข้าใจวันนี้ อาจเข้าใจได้ในวันพรุ่งนี้

สาม - ถ้ากำลังนั่งเบลอกับใจความของหนังตรงหน้า ลองรวบรวมสมาธิทั้งหมดที่มีดูสักตั้ง ถ้ายังไม่เข้าใจอีก เปลี่ยนมาดูภาพสวยๆ คนแสดงหน้าตาดีๆ แทนซะเลย

สี่ - ผมก็สามารถเข้าใจว่าตัวเองไม่เข้าใจมันก็ได้นี่หน่า

ห้า - ดูหนัง ย่อมมีอะไรมากกว่านั้น เพราะสาระของมันอาจรวมว่าเราดูกับใครเข้าไปด้วย

16 กรกฎาคม 2555

โล่ง

สำหรับเราแล้ว
ความรู้สึก 'โล่ง' ของคนขีดๆ เขียนๆ น่าจะเกิดขึ้นอย่างน้อยๆ 4 รอบ

หนึ่ง - เมื่อคิดประเด็นที่จะเล่าตั้งแต่หัว-ท้ายได้สำเร็จ
สอง - เมื่อเขียนได้ออกมาครบเหมือนกับความตั้งใจทีแรก
สาม - เมื่อคนตรวจงานมองว่าผ่านตามเกณฑ์นั้น
สี่ - เมื่องานเขียนชิ้นนั้นสามารถสร้างประโยชน์สักอย่างให้ผู้อ่านได้

อาจแถมรอบสุดท้ายไปว่า ถ้านานวันไปแล้วเราได้เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น จากการอ่าน-การเขียน-การคิด ก็จะทำให้สิ่งที่ทำอยู่ดูมีเนื้อมีหนังเพียงพอต่อการกระทำมันซ้ำๆ จนเป็นชีวิตจริงๆ

11 กรกฎาคม 2555

ปะทะคะคาน

ผู้หญิง ผู้ใหญ่ และผู้เป็นหัวหน้า
3 สถานะที่ว่ากันว่า...
ผู้ชาย เด็ก และลูกน้องควรให้เกียรติ เคารพ และปฏิบัติตาม

"ถ้าอยากอยู่อย่างสงบเรียบร้อย เจ้าต้องไม่หือ ไม่อือ ไม่ส่งเสียงคัดค้าน โดยไม่ว่าในเหตุการณ์ตรงหน้าจะเป็นเช่นไร เจ้าควรทำความเข้าใจ เออๆ ออๆ ไปกับเขา ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ" หลายคนบอกไว้ ผมยำรวมกันได้ประมาณนี้

คิดแบบมองด้วยสายตา ใครๆ ก็คงคิดว่าการทำตามๆ กันไปน่าจะง่ายดายกว่ามาก ไม่ต้องทำตัวให้แตกต่าง เขาว่าไงก็ว่าตามกันไป เห็นไหมล่ะ แค่นี้ง่ายจะตาย

ก็จริง!

แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นแบบนั้นหรอกนะ คนเรามีความคิดเป็นของตัวเอง เธอคิดแบบนั้น ฉันคิดแบบนี้ แล้วความคิดแบบกลุ่มก้อนจะออกมาเป็นแบบไหนก็อีกเรื่อง เรานั่งลงคุยกันได้ไหมว่าเรื่องหนึ่งๆ ควรเป็นแบบไหน ไม่ใช่ปักหมุดว่าสิ่งที่ทำๆ กันมาเป็นความประเสริฐเลิศเลอ จนไม่ว่าใครก็ควรต้องทำตาม

ดีหรือไม่ นั่นเรื่องหนึ่ง แต่ผมคิดเหมือนด้วยไหม ก็อีกเรื่อง

ได้โปรดเปิดรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ไม่ต้องเอาไปทำตามทุกสิ่งอย่างก็ได้ แต่การทำหน้าใสๆ แบ๊วๆ แล้วปิดประตูการรับฟังความคิดความเห็น มันไม่น่ารักเอาเสียเลย

หวังว่าเราจะพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลได้
โดยไม่ต้องปะทะกันด้วยท่าทีรุนแรงนะ

หวังว่าเราจะค่อยๆ พูดคุยกันได้
หวังว่านะ...

เวลาเช้า

แสงแรกแทรกตัวมายังบรรยากาศโดยรอบ
ฉันขยับเนื้อตัวเปิดรับความรู้สึกของเวลาเช้า

ภาระที่คั่งค้างร้องเตือนให้ลุกขึ้นมารับผิดชอบหน้าที่
ฉันปลุกสติรับรู้ให้เตรียมตัวออกไปยังรับผิดชอบการงาน

ให้ตายเถอะ การเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ว่าประเสริฐสุด
ต้องมีชีวิตแต่ละวันไปแบบแข็งใจ ฝืนทน และพยายามมากเพียงนี้เลย ?

หากปักธงว่าการมีชีวิตอยู่ต่อคือสิ่งที่ควรทำ
ฉันเชื่อเหลือเกินว่าต้องสนุก ต้องมีความหมาย
หรือง่ายๆ ก็ต้องตื่นมาแล้วรู้สึกพึงพอใจที่จะทำ

สำหรับบางคน เวลาเช้าอาจน่าสนใจ น่าหลงใหล
แต่สำหรับฉันในวันนี้ การตื่นขึ้นมาช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความทรมาน
ต้องออกจากบ้านไปเจอในสิ่งที่ไม่มีความรู้สึกร่วม
ไปกระทำในสิ่งที่ขาดๆ เกินๆ ในความเชื่อ
แต่ก็ยังต้องทำ
ทำไปเรื่อยๆ

อาจเพราะ 'มนุษย์' แท้จริงหาได้ประเสริฐสุด
หรืออาจเพราะ 'ฉัน' เองยังไม่เห็นความยิ่งใหญ่นั้น

ฉันไม่แน่ใจ

10 กรกฎาคม 2555

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

อะไรๆ ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปทั้งนั้นแหละ
จะคนหรือสิ่งมีชีวิตประเภทใดๆ สุดท้ายก็ต้องแยกย้ายจากกัน

ฉันว่าการ 'เกิดขึ้น' ของสิ่งมีชีวิตล้วนเป็นการเกิดขึ้นของผู้ที่ถูกเลือกทั้งนั้น เจ้าตัวอาจหาได้ปรารถนาที่จะมีชีวิต หรือบางทีก็อาจไม่สามารถหยั่งรู้ความต้องการของตนได้มาก่อน แต่ในนามความรักของ 'ผู้มาก่อน' ที่แวดล้อมอยู่ พวกเขาได้เห็นดีเห็นงาม และคิดว่าได้เลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้สำหรับ 'ผู้มาเยือน' มันเกิดขึ้นต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และได้กลายเป็นเรื่องธรรมาสามัญมาเนิ่นนาน

ใช่ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้มาก่อน ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้มาเยือน
แต่บางทีก็อาจจะไม่

ทันทีที่เริ่มต้นชีวิต ความหมายของการ 'ตั้งอยู่' ก็เริ่มต้นไปพร้อมๆ กัน ดำเนินไปทีละสิ่งทีละอย่าง จนกระทั่งถึงวาระของการ 'ดับไป' จากโลกใบนี้ และจางหายไปจากความทรงจำของผู้คน

เมื่อฉันไม่ได้เป็นผู้เลือกการ 'เกิดขึ้น' มาบนโลกใบนี้ การเบลอๆ งงๆ ในการใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่ซับซ้อนและสับสน ทำให้การ 'ตั้งอยู่' ของฉันเกิดคำถามที่ใครๆ ก็ถามตัวเองมานักต่อนักแล้วว่า 'ฉันเกิดมาทำไม' จนแล้วจนรอด แต่ละวันของฉันก็ดำเนินไปอย่างทุลักทุเล ฉันไม่เคยได้คำตอบที่ชัดแจ้งจนหายสงสัย อาจมีบ้างที่คล้ายจะเข้าใจ แต่สุดท้ายคำถามก็ยังคงอยู่ และหนักหนากว่าแต่ก่อน

กระทั่งฉันสนใจในการ 'ดับไป' ก่อนวาระผุสลายของร่างกาย

โง่เง่าสิ้นคิดสิ้นดีบ้างล่ะ บาปกรรมบ้างล่ะ ไม่เห็นคุณค่าอันประเสริฐสุดในฐานะมนุษย์คนหนึ่งบ้างล่ะ สูตรสำเร็จของผู้หยิบคว้า คุณค่าในการใช้ชีวิตไว้ได้ ก่นด่าใส่หน้า 'คนฆ่าตัวตาย' ไว้สารพัด และแน่นอน มันย่อมกระทบถึงคนรอบข้างของผู้จากไป

ฉันเชื่อ และเชื่อมาตลอดว่าหากใครสักคนเลือกที่จะยุติบทบาทของตัวเองก่อนกาล เขาย่อมมีสิทธิกระทำได้อย่างเต็มเปี่ยม ฉันกำลังพูดถึงสิทธิในการหยุดลมหายใจของตนเอง สิทธิที่อยู่นอกเหนือคำต่อว่า ประนาม ด่าทอของผู้ที่ยังรักตัวกลัวตาย คนเราเชื่อไม่เหมือนกัน หากคุณเชื่อในคุณค่าของการดำรงอยู่ คุณก็ควรเคารพสิ่งที่อีกคนกระทำในสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วยเอามากๆ

ลองนึกดูอีกทีว่าตัวเราเป็นของเราหรือเปล่า ฉันว่าก็อาจไม่ใช่เสียทีเดียว

อย่างน้อยๆ คนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกเริ่มกระทั่งปัจจุบัน ก็สมควรได้รับรู้ความคิดความเห็นที่ชี้ชะตาความรู้สึกร่วมกันเสียก่อน เขาควรได้รับรู้ความแตกต่าง และเราเองก็ควรเคารพคนที่เชื่อมต่อสายสัมพันธ์มาทั้งชีวิต

แต่ฉันเองก็ไม่เพลิดเพลินนักกับสูตรสำเร็จว่าชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่อยู่ต่อไป การแจ้งเตือนเป็นเรื่องเป็นราวจึงยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทางออกเฉพาะหน้าสำหรับภาวะ 'เบื่อโลก' และ 'เบื่อตัวเอง' ของฉันก็คือ การกระเสือนกระสนหาแง่งามให้ได้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เข้ามาทุกๆ วัน

ก็ทำได้ในหลายครั้ง บางครั้งก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่แก่นแกนความคิด ความรู้สึก ความเชื่อที่มีต่อตัวเอง ต่อโลกใบนี้ ก็ยังตีบตัน มืดบอด และอ่อนล้ามากขึ้นทุกๆ วัน

ยังไงๆ คนเราก็ต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปกันทุกผู้คน ฉันรู้และฉันเข้าใจมันดี

ระหว่างนี้ ฉันหวังว่าฉันจะประคับประคองภาวะยากลำบากนี้ให้ได้มากขึ้น อาจไม่ต้องถึงกับดีเลิศ แต่ฉันจะพยายามกระทำให้คนรอบข้าง ทั้งคนในครอบครัวทางสายเลือด ทั้งคนที่ผูกพันกันทางความรู้สึกนึกคิด ให้กระทบกระทั่งกันน้อยที่สุด

ทั้งๆ ที่ฉันเองยังค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไม่เจอเป็นชิ้นเป็นอันเลยก็ตาม

8 กรกฎาคม 2555

ผมอยากมีชีวิตที่ปกติสุข

ถ้าเลือกได้ ผมเองก็อยากมีชีวิตที่ปกติสุข
ไม่ต้องหวือหวา ขอแบบบ้านๆ ง่ายๆ ประคับประคองไปได้ทีละวัน-ทีละวัน
ผมว่าคุณเองก็คงอยากมีชีวิตที่ปกติสุข
ไม่ว่าผมหรือคุณหรือใคร ก็คงคิดเห็นไม่ต่างกัน

หลายเดือนมานี้ ผมรู้สึกชีวิตตัวเองมันไม่ปกติเอาเสียเลย
เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นักหรอก
ที่ผ่านมาผมมักมีปัญหากับผู้คนรอบข้าง สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว
และแน่นอน ผมมีปัญหากับตัวเอง
แต่ช่วงนี้มันมากเป็นพิเศษ มากจนเสียผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า
ผมไม่พอใจคนนั้น ไม่พอใจสิ่งนี้ และไม่พอใจตัวเองวันละหลายๆ รอบ
นี่ขนาดผมไม่ใช่คนที่มีภารกิจในแต่ละวันอะไรให้วุ่นวาย
ผมเองยังเสาะหาความวุ่นวายมาอยู่ในหัวได้ตั้งมากตั้งมาย
ชีวิตผมไม่ปกติสุขเอาเสียเลย

ผมเปิดทีวี ดูข่าว ดูรายการต่างๆ ไปตามประสา
ก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับภารกิจของสื่อมวลชนที่ผลิตซ้ำความกลวงโบ๋ของชีวิต
ก็เริ่มหงุดหงิดกับรายการที่พยายามหลอกล่อให้เสียเงินซื้อของที่ไม่จำเป็นกับชีวิต
หนักเข้าผมเริ่มไม่พอใจกับท่าทีของทุกๆ คนที่แสดงออกถึงชีวิตอันฉาบฉวย

ผมดูทีวีไป ผมหงุดหงิดไป ผมรู้สึกว่าข้างในตัวเองหนักหนาเอาการ
เสพความกลวงโบ๋ ความหลอกลวง และสารพัดสิ่งฉาบฉวยของมนุษย์
จะว่าไป ผมเองก็ไม่ได้มีคุณค่าต่อโลกใบนี้เท่าไรนักหรอก
ก็คงใช่

ผมเหนื่อยหน่ายอยู่ทุกวี่วัน จะบ้าตาย
ใจคอผู้คนจะใช้ชีวิตกันแบบนี้ไปถึงไหน
ไม่คิดอยากมีชีวิตที่ปกติสุขบ้างหรือไง
ผมอยากมีชีวิตที่ปกติสุข
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง
ก็ในเมื่อ พวกเขาทุกคนทำตัวแบบนี้อยู่
ผมเหนื่อย ผมหน่าย ผมจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ผมลุกออกมาจากทีวี
แต่ทีวีก็ยังเปิดทิ้งไว้
ไม่ได้จะอยากติดตามอะไรมากนักหรอกนะ
ก็แค่อยากรู้ว่าความไร้สาระทั้งมวลมันจะมีอะไรอีกบ้าง
เพราะผมอยากมีชีวิตที่ปกติสุข
อยากเปลี่ยนให้คนเหล่านั้นเลิกทำตัวแบบทุกวันนี้
เพราะผมอยากมีชีวิตที่ปกติสุขจริงๆ

ถ้ามีมนต์วิเศษสักอย่างในมือ
ผมอยากเปลี่ยนพวกเขาให้มีแก่นสาร
ทำอะไรเพื่อคนรอบข้าง เพื่อโลกใบนี้
เพราะผมเคยได้ยินว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมผมไม่มีทางที่จะไม่เจอกับพวกเขา
ไม่วันนี้ ก็พรุ่งนี้ หรือวันใดวันหนึ่ง
ผมก็ต้องออกจากบ้านไปเจอคนนั้น คนนี้ ที่มีนิสัยแบบที่ผมเล่าให้พวกคุณฟังนี่ไง

ในเมื่อไม่อยากให้พวกเขามีนิสัยแย่ๆ
ผมเองก็เลยต้องหนักแน่นกับตัวเอง
กวดขันให้ทุกๆ การกระทำของตัวเองไม่ไปแทรกแซงความรู้สึกของคนอื่น
จนพวกเขาต้องมาต่อว่าผมเอาจนได้

แต่ผมก็ไม่เคยทำมันได้สักที
ผมแม่งเริ่มรำคานตัวเองทุกวัน
ทำไมผมต้องเผลอทำตัวให้คนรอบข้างไม่พอใจด้วยวะ
ไม่เคยตั้งใจเลยจริงๆ นะ ที่จะเผลอทำอะไรแบบนั้น
แล้วยังไงล่ะ คุณก็คงคิดว่าผมเองจะมาอ้างแบบนั้นไม่ได้หรอก
ใช่ ผมทำ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมาอ้างว่าไม่ได้เจตนา

วันก่อนก็หงุดหงิดกับตัวเอง เมื่อวานก็ด้วย วันนี้ก็อีก
แม่งเอาจริงๆ ก็เกือบทุกวันที่ผมเริ่มหงุดหงิดกับตัวเอง
ผมไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ ชีวิตที่ผมเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที
อยากให้ทุกวินาทีมีคุณค่า มีความหมาย มีประโยชน์กับคนอื่นๆ
รับไม่ได้จริงๆ ที่จะปล่อยให้การกระทำไปบั่นทอนความรู้สึกคนอื่น
ผมวุ่นวายใจเป็นบ้า ผมกำลังจะเป็นบ้าแล้ว
หรือจริงๆ ผมเป็นบ้าไปแล้ว แต่ผมไม่ยอมรับมัน

ผมลองนึกว่าทำไมพวกเขาและตัวผมเองถึงเป็นเช่นนี้
ใช่ ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบ
ทุกคนผิดพลาดกันได้เป็นเรื่องปกติ
ชีวิตที่เปี่ยมด้วยแก่นสารอาจไม่มีอยู่จริง
แล้วยังไง ผมรับไม่ได้หรอกนะที่จะใช้ชีวิตแบบห่วยๆ
ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความหมาย ไม่มีคุณค่าต่อโลกใบนี้

ปวดหัว ปวดใจ ปวดเนื้อปวดตัว
ความคิดทะลักเข้ามาในการรับรู้ผมอย่างไม่หยุดหย่อน
มันมา มันฟาดฟันกันอยู่ในหัว มันไม่ยอมไป
ผมกำลังจะเป็นบ้า
ไม่นะ ผมไม่อยากเป็นบ้า ผมอยากมีชีวิตที่ปกติสุข
ไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่ประคับประคองในแต่ละวันให้ไม่ย่ำแย่จนเกินไป

ผมอยากมีชีวิตที่ปกติสุขจริงๆ
ได้โปรดเถอะความคิดทั้งหลาย
ได้โปรดเถอะตัวผมเอง
ได้โปรดเถอะ

ผมอยากมีชีวิตที่ปกติสุข

3 กรกฎาคม 2555

ตัวตนที่ตีบตัน

เมื่อเจอ 'ปัญหา' ผมมักสรรหาคำอธิบายความยากลำบากให้กับตัวเองและบอกกับผู้อื่น เสาะหาวิธีการสารพัดเพื่อหลีกหนี และประนีประนอมการจากลาออกมาให้ได้มากที่สุด

ผมเริ่มต้นทำมันเพียงครั้งแรก ไม่กี่ครั้ง และตามมาด้วยความซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อาจน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือแทบไม่มีเลย ที่ผมจะปักหมุดเสาะหาวิธีการอยู่กับมันอย่างสร้างสรรค์ ปล่อยให้เนื้อตัวมีบาดแผลแห่งความผิดพลาดอย่างทุลักทุเลเสียบ้าง และอดทนจนผ่านมันไปทีละเป...ราะ-ทีละด่าน

ก่อนหน้าผมบอกตัวเองว่า 'ต้องอดทน' แต่ตอนนี้ผมถามตัวเองว่า 'ทำไมต้องทน'

โลกอาจมีปัญหาจริงๆ จนผมต้องไม่พอใจต่างๆ นาๆ แต่การที่ผมไม่พอใจกับอะไรสักอย่าง มันน่าจะหมายถึงปัญหาก็ย่อมมาจากตัวผมไม่น้อยเช่นกัน

จะอยู่ทน หรือทนอยู่ , จะอดทน หรือทนอด , จะปัญหา หรือปัญญา -- ไอ้ห่า ผมแม่งไม่รู้จริงๆ

หากจะต่อว่า ก่นด่า หรือทำโทษกัน ที่ 'ทำไม' ผมแม่งถึงเรื่องมาก งี่เง่า ไม่ปรับตัว เอาแต่ใจ ห่วยแตก ก็เชิญได้ตามสบาย ตามสะดวก ตามอัธยาศัย ตามแต่ใจจะปรารถนา

ผมคงไม่ตอบโต้ใคร ผมเห็นด้วยเต็มๆ ว่าผมแม่งเป็นแบบที่พวกคุณมอง แบบที่หลายๆ คนมอง และแบบที่คนจำนวนมากมอง

ผมก็ได้แต่หวังว่าสุดท้ายแล้ว ตัวผมเองจะไม่มองตัวเองแบบนั้น